คงมีน้อยคนนักที่จะนึกถึงจ.ชัยภูมิ ในฐานะจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวภาค
อีสาน
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะความกว้างใหญ่ไพศาลของแดนดินถิ่นที่ราบสูงนั้นอุดมไป
ด้วยแหล่งอารยธรรม วัฒนธรรม
และธรรมชาติเลื่องชื่อมากมายในหลายจังหวัดอยู่แล้ว
แม้แต่เราเองก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสแวะไปเยี่ยมชมเมืองชัยภูมิมาก่อนเลยสัก
ครั้ง ทั้งๆ ที่เราก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาอยู่ออกจะบ่อย

นั่นอาจเป็นเพราะว่าพรมแดนจ.ชัยภูมินั้นถูกห้อมล้อมด้วยจังหวัดใหญ่อย่าง
นครราชสีมาและขอนแก่นจนถูกมองเมินไป ซึ่งในความเป็นจริง
จ.ชัยภูมิถือเป็นอีกเมืองหนึ่งที่เราน่าจะศึกษาและทำความรู้จักมากที่สุด
นั่นก็เพราะจ.ชัยภูมิ มีพรมแดนติดกับภาคอื่นถึง 2 ภาค
คือติดภาคเหนือด้านจ.เพชรบูรณ์ และติดกับภาคกลางด้านจ.ลพบุรี
และยังเป็นที่ตั้งของเขื่อนจุฬาภรณ์ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว
ทุ่งดอกกระเจียวสวยสดน่ารักทักทายน้ำค้างยามเช้าอันโด่งดัง
ไปจนถึงน้ำตกและอุทยานแห่งชาติตาดโตนอันเลื่องชื่อ
ทั้งหมดย่อมสะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่ยังคงอยู่ของจ.ชัยภูมิ
ได้เป็นอย่างดี และนั่นคือข้อมูลคร่าวๆ
ที่เราได้รับก่อนจะออกเดินทางไปทำความรู้จักกับจ.ชัยภูมิเป็นครั้งแรกร่วม
กับก๊วนของเรา เพื่อสัมผัสกับ "
มอหินขาว" อันซีนอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านรอนักท่องเที่ยวเข้าไปชมและไขปริศนาความลึกลับอายุนับล้านปี!
มอหินขาว ในปัจจุบันคือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญประจำจ.ชัยภูมิ
ตั้งอยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติภูแลนคา
ลักษณะเด่นของมอหินขาวคือเป็นทุ่งหญ้าบนเนินเขา
แซมด้วยกลุ่มหินทรายสีขาวขนาดใหญ่โตมโหฬารตั้งเรียงรายดูเด่นสะดุดตามาแต่
ไกล ดูคล้ายสโตนเฮ็นจ์ (Stonehenge) 1 ใน 7
สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคกลางของประเทศอังกฤษจนถูกยกให้เป็นสโตนเฮนจ์เมือง
ไทยไปโดยปริยาย
แท่งหินทุกก้อนถูกกาลเวลาสลักเสลาจนทำให้แต่ละก้อนมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน
ไป มีการประเมินอายุของแท่งหินบนมอหินขาวว่าน่าจะอยู่ระหว่าง 197-175
ล้านปี
ถือเป็นเวลานานพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมแปรสารสะสมของ
ตะกอนทราย แป้ง และดินเหนียว รวมกับน้ำจนเกิดการตกตะกอนก่อนแปรสภาพเป็นทราย
เมื่อเจอกับสภาพอากาศแบบแห้งแล้งกึ่งร้อนชื้นของภาคอีสานตอนกลางทับถมลงบน
ตะกอนทรายแป้งและดินเหนียวนานวันเข้า
ประจวบเหมาะกับการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกทำให้ตะกอนทรายคดโค้ง แตกหัก
ผุพังและการกัดเซาะทั้งในแนวตั้งและแนวนอน
กลายมาเป็นลักษณะของเสาหินและแท่งหินอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ก่อนที่มอหินขาวจะถูกยกระดับให้กลายมาเป็น
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ
อย่างทุกวันนี้
ในอดีตก็เคยเป็นเพียงพื้นที่ป่าและพื้นที่ทำไร่เพาะปลูกของชาวบ้านมานานหลาย
ปี โดยที่ชาวบ้านก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับกองแท่งหินทั้งหลาย
จนกระทั่งมีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นเมื่อชาวบ้านพากันสังเกตว่ามีแท่ง
หินใหญ่ 5 ก้อนส่องแสงสีขาวทุกคืนวันพระ จึงโยกย้ายพื้นที่ทำไร่ออกไป
คงเหลือไว้เพียงแต่แท่งหินขนาดใหญ่
ต่อมาก็มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาชมจนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปในที่สุด
เมื่อได้มายลด้วยตาตัวเองก็ต้องขอบอกว่าน่าทึ่งไม่น้อย
เพราะขนาดแท่งหินที่ใหญ่ที่สุดก็มีขนาดถึง 20 คนโอบ
ทุกแท่งตั้งตระหง่านเรียงรายกันไปเป็นระเบียบเหมือนถูกจับวาง
ทอดยาวไปกับแนวทุ่งหญ้าเขียวขจี
ดูมีมนต์สะกดให้จดจ่ออยู่กับธรรมชาติบนภูแลนคาจนถอนตัวไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว

นอกจากมอหินขาวบนภูแลนคาที่น่าชมแล้ว
ไม่ไกลกันนักยังมีพื้นที่เพื่อการศึกษาพันธุ์พืชต่างๆ ตามธรรมชาติ
รวมถึงและสัตว์ป่าขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น
ซึ่งยังคงความอุดมสมบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยมเพราะเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารภูแลนคา
ให้ชาวบ้านทำฝายกั้นน้ำกักเก็บไว้ใช้ในหน้าน้ำแล้งเพื่อการเกษตรและบริโภค
อีกด้วย การเดินทางไปเที่ยวชมผามอหินขาวนั้นไม่ถึงกับยากลำบากจนเกินไป
แต่อย่าลืมวางแผนก่อนการเดินทางที่อาจมีอุปสรรคเล็กน้อยในช่วงฤดูฝนเนื่อง
จากเส้นทางบางจุดยังคงเป็นทางลูกรังอยู่ หากออกจากตัวจังหวัดชัยภูมิ
ให้ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2051 ถนนสายชัยภูมิ-ตาดโตน ระยะทางประมาณ 18
กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายก่อนถึงด่านตรวจอุทยานแห่งชาติตาดโตน
แล้วมาตามเส้นทางถนนตาดโตน-ท่าหินโงมอีกประมาณ 12 กิโลเมตร
แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนแจ้งเจริญ-โสกเชือก ซึ่งเป็นเส้นทางลูกรังระยะทาง
6.5 กิโลเมตรจนถึงบ้านวังคำแคน จากนั้นเลี้ยวขวาตรงบ้านวังคำแคน
จะเจอเส้นทางลูกรังสำหรับขนพืชไร่อีกประมาณ 3.5 กิโลเมตร ก็ถึงมอหินขาว
รวมระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตรจากตัวเมือง
สำหรับช่วงฤดูฝนควรใช้รถยนต์ประเภทรถกระบะหรือรถขับเคลื่อนสี่ล้อ
เพื่อความเหมาะสมกับเส้นทาง
ใครที่อยากพักค้างแรมแบบสัมผัสธรรมชาติบนภูแลนคาอย่างใกล้ชิด
ก็มีลานกางเต็นท์ใกล้กับอาคารหน่วยพิทักษ์ฯ
ไว้บริการพร้อมกับมีเต็นท์ให้เช่าราคา 100 บาท/คืนสำหรับ 2 ท่าน
หรือหากนำเตนท์และสัมภาระมาเองก็จะเสียค่าใช้บริการพื้นที่อีกนิดหน่อย
ซึ่งหากพักกางเตนท์บริเวณนี้
ก็ยังสามารถเที่ยมชมวิวและธรรมชาติบนภูที่ยังมีอยู่อีกหลากหลาย อาทิ
หินเจดีย์โขลงช้าง ลานหินต้นไทร สวนหินล้านปี และจุดชมวิวผาหัวนาค
ซึ่งสามารถเดินเท้าได้ในระยะทางเพียง 2 กิโลเมตรเศษๆ

หากตั้งใจไว้ว่าจะขอมาสัมผัสความหัศจรรย์ของมอหินขาว
เราขอแนะนำช่วงราวเดือนธค.-มค.ของทุกปี
แน่นอนว่านอกจากบรรยากาศจะวิเศษเหมือนเที่ยวอยู่กลางสรวงสวรรค์เพราะเป็น
ช่วงฤดูหนาวที่อากาศเย็นสบายกำลังดีแล้ว
ก็ยังจะเป็นช่วงที่ทางจ.ชัยภูมิร่วมกับททท.เขาจัดงานเทศกาลดอกไม้บานชูช่อ
ที่มอหินขาวเป็นประจำทุกปีอีกด้วย
ลองเปลี่ยนบรรยากาศจากการตั้งตารอขึ้นภูอื่นๆ ที่ใครๆ
เขาก็แห่กันขึ้นไปชมจนแน่นแทบไม่มีที่ให้เดิน
มาเพลิดเพลินกับภูแลนคาที่ยังคงความเรียบง่าย
แล้วยังได้ความรู้จากการศึกษาธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์
อาจทำให้เรารักและหวงแหนธรรมชาติและสิ่งแวดล้มของไทยมากขึ้นกว่าการมาตักตวง
ความสุขกลับไปอย่างเดียวก็เป็นได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น